สถานที่นี้เคยเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอดีตถึง 2 ยุคสมัย : เที่ยวอิสตันบูล 1 วัน ไปที่ไหนมาบ้าง

Last updated: 28 พ.ย. 2565  |  3644 จำนวนผู้เข้าชม  | 

สถานที่นี้เคยเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอดีตถึง 2 ยุคสมัย : เที่ยวอิสตันบูล 1 วัน ไปที่ไหนมาบ้าง

สถานที่นี้เคยเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอดีตถึง 2 ยุคสมัย : เที่ยวอิสตันบูล 1 วัน ไปที่ไหนมาบ้าง

 

 

        วันนี้ฟูจะพาไปเรียนรู้และชมสถาปัตยกรรมที่ยังคงความสวยงามถ่ายทอดจากอดีตสู่ปัจจุบัน ผ่านยุคผ่านสมัยด้วยศิลปะอันยิ่งใหญ่ตั้งแต่จักรวรรดิโรมันอันยิ่งใหญ่ อาณาจักรไบแซนด์ไทน์ จนถึงผ่านยุคสมัยจักรรดิออตโตมัน อีกหนึ่งจักรวรรดิ์อิสลามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอดีต ตามมาชมได้เลยค่ะ

          เริ่มต้นฟูเดินทางมาจากสนามบินอิสตันบูลด้วยการนั่งรถ Havaist Bus หมายเลข 16 มาย่าน Taksim Square ซึ่งสามารถดูวิธีการเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองอย่างไรดูได้ที่นี้เลยค่ะ  


           เมื่อถึง Taksim Square จากย่าน Taksim Square เดินไปยังสถานี Taksim Station เพื่อนั่ง Metro สาย M2(Yenikapi) ไปลงสถานี Sishane
และนี่คือเส้นทางรถไฟฟ้า และรถรางในอิสตันบูลนะคะ


แล้วเดินต่อเพียง 400 เมตรไปยัง Galata Tower  ซึ่งใช้เวลาทั้งหมดเพียง 10 นาทีเท่านั้นค่ะ และเราก็ถึง Galata Tower กันแล้ว 



ซึ่งหาเราต้องการขึ้นไปชั้นบนหอคอย ก็จะมีค่าเข้า 175 TL ค่ะ



การขึ้นไปยังข้างบนหอคอยเพื่อชมวิว สามารถเดินขึ้นบันได้ทั้งหมด 146 ขั้น หรือขึ้นลิฟต์เพื่อไปชั้นบนสุดได้ค่ะ

ถ้าเรามองจากวิวข้างบนหอคอย ฝั่งที่ฟูยืนนี้เค้าเรียกว่า New Town ส่วนอีกฝั่งที่มีแม่น้ำคั้นกลางที่เรียกว่า Golden horn จะเป็น Old Town ค่ะ

         ส่วนอีกด้านหนึ่งนะคะ ที่เห็นแผ่นดินไกล ๆ นั้นจะเป็นฝั่งเอเชียค่ะ
      ส่วนอีกฝั่งหนึ่ง จะเห็นพระราชวังโดลมาบาชเช่ (Dolmabahce Palace) และสะพานที่ถัดจากพระราชวังที่อยู่ไกล ๆ นั้นเป็นสะพาน Bosphorus Bridge ซึ่งเป็นสะพานแขวนที่ทอดข้ามช่องแคบบอสฟอรัสในอิสตันบูลเพื่อเชื่อมระหว่างยุโรปและเอเชีย

Galata Tower
          สร้างขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1348-1349 ในสไตล์โรมาเนสก์ ซึ่งมีความสูง 219.5 ฟุต และเป็นอาคารที่สูงที่สุดในกรุงคอนสแตนติโนเปิล ในช่วงจักรวรรดิ์โรมัน ต่อมาหอคอยแห่งนี้ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวในช่วงปีค.ศ.1500  และได้รับการซ่อมแซมโดยสถาปนิก Murad bin Hayreddin หอคอยแห่งนี้นับว่าเป็นหอคอยที่สำคัญในการเฝ้าระวังภัยจากกำแพงเมืองภายใน และมีความสำคัญทางทหารมากค่ะ ต่อมาภายหลังหอคอยแห่งนี้ก็ได้ถูกนำมาใช้สำหรับตรวจจับอัคคีภัยในจักรวรรดิออโตมัน ก่อนที่จะถูกดัดแปลงเป็นเรือนจำในสมัยการปกครองของสุลต่านสุไลมาน (Sultan Suleiman)


ในปี 2020 ซึ่งไม่นานนี้เองหอคอยได้รับการบูรณะและได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งสามารถชมวิวได้ 360 องศาเลยนะคะ เป็นจุดชมวิวที่วิเศษมาก สามารถมองเห็นทั้งวิวฝั่งยุโรป ฝั่งเอเชีย และเมืองเก่า เมืองใหม่ได้เลย

          จาก Galata Tower สามารถเดินขึ้นสถานี Tophane ระยะห่างเพียง 700 เมตรเท่านั้น เพื่อไปนั่ง Metro สาย T1(Kabatas) ไปลงสถานี Kabatas Tramvay istasyonu แล้วเดินต่อประมาณ 350 เมตรไปยัง พระราชวังโดลมาบาชเช่ (Dolmabahce Palace) ใช้เวลา 20 นาที
         วังนี้จะเป็นวังใหม่นะคะในช่วงสมัยจักรวรรดิออตโตมัน
       แต่ที่นี้ใครมาซื้อหน้างานถือว่าต้องต่อแถวกันยาวมาก และอาจเสียเวลา ที่นี้ยังจำกัดจำนวนคนเข้าชมในแต่ละวันด้วยนะคะ ฟูกลัวพลาดโอกาสนั้นจึงซึ่ง Ticker VIP แบบ Fast track เพื่อที่จะไม่ต้องต่อแถว และยังได้รับ audio แปล 10 ภาษา  ซึ่งราคา Ticket ที่ฟูได้มาตกคนละ  1,348 บาทค่ะ ราคาก็มากกว่า Ticket หน้างานไม่เท่าไหร่ ซึ่งรวมบัตรเข้าชม Dolmabahce Palace ticket ,Harem และ Painting Museum แบบไม่จำกัดเวลาค่ะ ซึ่งฟูนั่งกับไกด์ที่ Clock Tower

        ตั๋วต้องระบุวันเวลาที่จองด้วยนะคะ ซึ่งฟูเลือกเข้าชมเริ่มตั้ง 10 โมงเช้าค่ะ และภายในพระราชวังแห่งนี้ไม่สามารถถ่ายรูปได้ค่ะ ฟูจึงเก็บภาพภายนอกให้ชมได้เท่านั้น



และนี่คือแผนที่ของพระราชวังโดลมาบาซเซ่ค่ะ

    พระราชวังโดลมาบาชเช่ (Dolmabahce Palace) วังแห่งนี้เป็นวังที่สร้างใหม่ในช่วงสมัยจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งย้ายมาจากพระราชวังเดิมที่ชื่อว่า พระราชวังทอปกาปี (Topkapi Palace) และเป็นสถานที่สุดท้ายที่สุลต่านอาศัยอยู่ ก่อนจักรวรรดิออตโตมันล่มสลาย พระราชวังโดลมาบาชเช่ ถูกสร้างขึ้นด้วยสไตล์แบบยุโรป ซึ่งมีความหรูหรา แตกต่างจากวังเก่า โดยสุลต่านอับดุลเมซิดในศตวรรษที่ 19 ได้ย้ายจากพระราชวังทอปกาปี (Topkapi Palace) ที่ไม่มีความสะดวกสบาย มาพระราชวังแห่งนี้ ทำให้พระราชวังแห่งนี้ได้กลายเป็นพระราชวังหลัก และศูนย์กลางปกครอง ของจักรวรรดิ์ออตโตมันให้กับสุลต่านถึง 6 รัชสมัย





       สถาปัตยกรรมที่นี้ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกค่ะ ซึ่งคำว่า Dolma หมายถึงอิ่ม ส่วน Bahce หมายถึงสวนในตุรกี ที่ตั้งของพระราชวังนี้จึงเป็นการเติมเต็มบนอ่าวเล็ก ๆ ของช่องแคบฟอสฟอรัส


           พระราชวังโดลมาบาชเช่ (Dolmabahce Palace) จะประกอบด้วยห้องพัก 285 ห้อง และห้องโถง 46 ห้อง อาคารขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ 25 เฮกตาร์/62 เอเคอร์ และส่งที่น่าสนใจคือภาพวาดที่ไม่ซ้ำกันเกือบ 600 ภาพ รวมถึงฮาเร็มสุลต่านที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ค่ะ




สำหรับอุปกรณ์ของพระราชวังสร้างด้วยเทคนิคขั้นสูง รวมถึงไฟ ตู้น้ำจำนะเข้ามาจากบริเตนใหญ่ ซึ่งมีความมหัศจรรย์และรุ่งเรืองมากในสมัยนั้น เพราะในสมัยนั้นแม้แต่พระราชวังในยุโรปยังไม่ได้มีเทคนิคขั้นสูงเท่านี้ ต่อมาได้มีการติดตั้งไฟฟ้า ระบบความร้อน และลิฟต์
      พระราชวังแห่งนี้ได้ถูกกรรมสิทธิ์ให้เป็นมรดกแห่งชาติเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1924  และถูกเปิดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่ปีค.ศ. 1984 
เวลาทำการ 9:00-18:00 น.

    ฟูเดินทางต่อเพื่อไปยังย่าน Sultanahmet Square (จตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด ; สุลต่านนาเหม็ด สแคว) โดยนั่งรถรางจากสถานี Kabatas ไปยังสถานี Sultanahmet  ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ซึ่งย่านนี้จะเป็นแหล่งรวมสถานที่สำคัญหลายที่เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น Hagia Sophia, Blue Mosque, Basilica, Basilica Cistern, Topkapi 
     แต่ก่อนอื่นนะคะ ฟูก็ขอแวะกินข้าวแถวๆๆ ย่านนี้ก่อน 



     จานนี้ราคา 155 TL ค่ะ 

       หลังจากนั้นฟูจะพาไปชมสถาปัตกรรมของจักรวรรดิออตโตมันกันต่อค่ะ ซึ่งอยู่ในเขตย่าน Old Town แห่งนี้ ซึ่งเราสามารถเดินไป Sultanahmet Square กันได้เลย
      Sultanahmet Square (จตุรัสสุลต่านอาห์เหม็ด ; สุลต่านนาเหม็ด สแคว) หรือเรียกว่า ฮิปโปโดรม (Hippodrome) ซึ่งย่านนี้นับว่ามีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งจะนำไปสู่การเรียนรู้ต่อสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญในอดีตไม่ว่าจะเป็นช่วงสมัยจักรวรรดิโรมัน จนถึงจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอดีต โดย Hippodrome สร้างข้างโดยคอนสแตนตินมหาราช หลังจากการประกาศให้อิสตันบูลเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมัน

Hippodrome ยังเป็นสถานที่คึกคักในกาลต่อมาในสมัยไบแซนไทน์
 เมื่อถึงที่นี้แล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการเข้าไปชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในอดีต นั่นก็คือที่แรก เราเข้าชมมัสยิมสุลต่านอาเหม็ด (Blue Mosque) กันค่ะ การเข้าไปชมเยี่ยมชมที่นี no entrance fee แต่ต้องแต่งกายให้สุภาพด้วยนะคะ รวมถึงใช้ผ้าคลุมหัวด้วยค่ะ เพราะที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

    แต่เป็นอันน่าเสียดายค่ะ ตอนฟูไปภายในมัสยิมกำลังปรับปรุงก่อสร้างอยู่ค่ะ 
     มัสยิมสุลต่านอาเหม็ด (Blue Mosque) หรือที่รู้จักกันในนามมัสยิดสีน้ำเงิน เพราะการตกแต่งภายในที่เต็มไปด้วยด้วยกระเบื้องที่เป็นสีน้ำเงิน ภายในมัสยิดจะตกแต่งด้วยกระเบื้องเซรามิกสไตล์ iznik มากกว่า 2 หมื่นชิ้น ความปราณีตของกระเบื้องเซรามิกที่ทำด้วยมือ ออกแบบมาในรูปดอกทิวลิปกว่า 50 แบบ ซึ่งชั้นบนของการตกแต่งด้วยสีฟ้า หน้าต่างกระจกสีมากกว่า 200 บานที่เปิดรับแสงธรรมชาติ บนโคมระย้ามีไข่นกกระจอกเทศเพื่อป้องกันใยแมงมุมภายในมัสยิด


      มัสยิดนี้ถูกสร้างขึ้นระหว่างปี 1609-1616 ภายใต้การปกครองของอาเหม็ดที่ 1 ในช่วงสมัยจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งมัสยิมสุลต่านอาเหม็ด (Blue Mosque) นี้ถูกสร้างขึ้นหลังจากการสงครามในช่วง 1603 กับเปอร์เซีย สุลต่านอาเหม็ดที่ 1 ได้ตัดสินใจสร้างมัสยิดขนาดใหญ่แห่งนี้เพื่อยืนยันอำนาจของออตโตมัน มัสยิดแห่งนี้จึงเป็นมัสยิดจักรพรรดิแห่งแรก และมัสยิดนี้จึงเป็นมัสยิดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์สมัยจักรวรรดิออตโตมัน และยังที่สำคัญที่สุดของอิสตันบูล 



        เมื่อเรามองจากภายนอก มัสยิดแห่งนี้จะมีโดมหลักอยู่ 5 โดม หออะซาน 6 หอ และโดมรองอีก 8 แห่ง โครงสร้างสถาปัตยกรรมที่นี้จะผสมผสานไบแซนไทน์ และสถาปัตยกรรมอิสลามแบบดั้งเดิม และถือว่าเป็นมัสยิดที่ยิ่งใหญ่แห่งสุดท้ายในยุคคลาสสิค


      ณ ปัจจุบันนี้มัสยิมสุลต่านอาเหม็ด (Blue Mosque) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก ในปี 2528 ภายใต้ชื่อ “Historic Areas of Istanbul” ค่ะ

 

        และอีกหนี่งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และอยู่ใกล้ มัสยิมสุลต่านอาเหม็ด (Blue Mosque) นั่นคือ ฮายาโซฟีอา (Hagia Sophia)
       การเข้าชมที่นี้ยัง no entrance fee ด้วยค่ะ 


        ฮายาโซฟีอา หรือสุเหร่าโซเฟีย (Hagia Sophia) หรืออีกชื่อหนึ่งในภาษาตุรกีเรียกว่า พิพิธภัณฑ์อายาโซเฟีย (Ayasofya Museum) คำว่าฮาเกียโซเฟีย หรือ อายาโซฟยา แปลว่า “พระปรีชาญาณศักดิ์สิทธิ์” ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 360 โดยจักรพรรดิคอนสแตนเชียสที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมัน (Constantius II ค.ศ. 377-ค.ศ. 361) ซึ่งสถานที่แห่งนี้เคยเป็นโบสถ์ของคริตส์ศาสนา นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ นับเป็นโบสถ์คริสต์ที่ใหญ่ที่สุดของจักรวรรดิโรมันตะวันออกและศาสนจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ ยกเว้นในสมัยจักรวรรดิละตินช่วง ค.ศ. 1204–1261 ซึ่งศาสนสถานนี้กลายเป็นอาสนวิหารคริสตจักรละตินประจำนครแทน

       ต่อมาใน ค.ศ. 1453 หลังจากการล่มสลายของคอนสแตนติโนเปิลจนมาสู่จักรวรรดิออตโตมัน ศาสนสถานนี้ก็ได้รับการแปรเปลี่ยนเป็นมัสยิดหลักของอิสตันบูล 



         ใน ค.ศ. 1935 สาธารณรัฐเติร์กซึ่งเป็นกลางทางศาสนาได้จัดศาสนสถานนี้เป็นพิพิธภัณฑ์แทน กระทั่งใน ค.ศ. 2020 จึงมีการเปิดศาสนสถานนี้เป็นมัสยิดอีกครั้ง
Open: 24 ชั่วโมง
Open : 9:00AM-7:00PM
           
          หากใครมีเวลาก็สามารถไปเดินชมอีก 2 สถานที่ที่นับว่าสำคัญเช่นกันค่ะ คือ พิพิธภัณฑ์ Hagia Irene + พระราชวังทอปกาปี (Topkapi Palace) 

        ซึ่ง Hagia Irene ใช้เวลาเดินทางจากมัสยิมสุลต่านอาเหม็ด (Blue Mosque)  เพียง 10 นาทีเท่านั้น ระยะทางประมาณ 750 เมตร หรือจาก Hagia Sophia เพียง 5 นาที 400 เมตร



ที่ Hagia Irene (ฮาเกีย ไอรีน) มีอะไรดี??
       Hagia Irene หมายถึง “สันติภาพอันศักดิ์สิทธิ์” (Hagia Eirene) เป็นโบสถ์ที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ในอิสตันบูลรองจากสุเหร่าโซเฟีย (Hagia Eirene)    และยังเป็นโบสถ์เก่าแก่ที่สุดของจักรวรรดิโรมันตะวันออก จึงมีโครงสร้างแบบไบแซนไทน์ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 330 ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิจัสติเนียนัส

         หลังจากการล่มสลายของคอนสแตนติโนเปิล โบสถ์แห่งนี้ได้ถูกนำมาเป็นแหล่งเก็บของและคลังอาวุธ (Harbiye Warehouse) จนในปีพ.ศ. 2389 ได้มีการนำมาจัดแสดงสิ่งประดิษฐ์ทางพิพิธภัณฑ์ตุรกีครั้งแรก จนในปีพ.ศ. 2412 จึงกลายเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาแห่งแรกในตุรกี  ภายใต้ชื่อ Müze-i Hümayun (พิพิธภัณฑ์อิมพีเรียล) 

เวลาทำการ : ฤดูร้อน 1 เม.ย.-1 ต.ค. : 9.00-18.00 น. , ฤดูหนาว 1 ต.ค. -1 เม.ย. : 9.00-18.00 น. หยุดทำการวันอังคาร 

ค่าเข้าชม  : พิพิธภัณฑ์ Hagia Irene ราคา 120 TL ใช้สำหรับทางเข้าอาคาร หรือโบสถ์ Hagia Eirene
                   พิพิธภัณฑ์ Hagia Irene + พระราชวังทอปกาปี (Topkapi Palace) รวมถึงลานทั้ง 4 แห่งในพระราชวัง ราคา 320 TL
                   พิพิธภัณฑ์ Hagia Irene + พระราชวังทอปกาปี (Topkapi Palace) +อาคารทั้งหมด  + ห้องฮาเร็ม ราคา 420 TL

              ส่วนพระราชวังทอปกาปี หรือพระราชวังโทพคาปี (Topkapi Palace) ซึ่งอยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์ Hagia Irene เพียง 120 เมตรเท่านั้น

พระราชวังทอปกาปี หรือพระราชวังโทพคาปี (Topkapi Palace) 
        พระราชวังทอปกาปี ได้เป็นพิพิธภัณฑ์ในปีพ.ศ. 2467 ซึ่งเป็น 1 ปีหลังจากก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกี ซึ่งพระราชวังแห่งนี้นับว่าเป็น พระราชวังที่ใหญ่โต โออ่า สวยงามที่ประดับตกแต่งเต็มไปด้วยอัญมณี พระราชวังแห่งนี้มีเรื่องราวและตำนานที่เต็มไปด้วยสุลต่าน ข้าราชบริพาร นางสนม แหล่งฮาเร็ม ในสมัยศตวรรษที่ 15 ถึง 19 เพราะพระราชวังแห่งนี้เคยเป็นที่พำนักของจักรวรรดิออตโตมัน(The Ottoman Sultan) และฮาเร็มของเขา ยังเป็นศูนย์กลางของการบริหารราชการแผ่นดิน จึงเป็นสถานที่เก็บรวบรวมสิ่งของ ประวัติศาสตร์ สมบัติของจักรพรรดิ ห้องสมุด และโรงกษาปณ์ในจักรวรรดิออตโตมันที่ใหญ่ที่สุด


            พระราชวังแห่งนี้ได้ก่อสร้างขึ้นในปี 1459 และเสร็จในปี 1478 ซึ่งใช้เวลาถึง 19 ปีในการก่อสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ พระราชวังนี้จึงกลายเป็นวังแห่งที่ 2 ของชาวออตโตมันในอิสตันบูล

 
เวลาทำการ : ฤดูร้อน 1 เม.ย.-1 ต.ค. : 9.00-18.00 น. , ฤดูหนาว 1 ต.ค. -1 เม.ย. : 9.00-18.00 น. หยุดทำการวันอังคาร 



           หลุมฝังศพที่ ติดกับมัสยิด Suleymaniye เป็นหลุมฝังศพของ Roxolana เธอเสียชีวิตด้วยโรคที่ไม่ทราบสาเหตุเมื่อวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1558 ซึ่งหลุมศพเธอถูกสร้างขึ้นข้างสถานที่สำหรับสามีของเธอ ทำให้เธอเป็น “ผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ฮาเร็มของออตโตมัน ที่จะได้รับเกียรติอย่างยิ่ง”

คลิปเกี่ยวข้องเพิ่มเติม  
วิธีเดินทางจากสนามบินอิสตันบูลเข้าเมือง-เมืองเข้าสนามบิน-สนามบินอิสตันบูลไปสนามบินซาบีฮา
เที่ยว Cappadocia ในตุรกี เมืองที่มีดีมากกว่าบอลลูน
 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้